2447 จำนวนผู้เข้าชม |
นาทีนี้โลกทั้งโลกกำลังคุยกันแค่ประเด็นเดียวคือสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้โลกหยุดหมุนไปชั่วคราว....ไม่มีใครพูดถึงการเลือกตั้งในประเทศไหน ไม่มีใครพูดถึงธุรกิจใหม่แห่งอนาคต ไม่มีใครพูดถึงการวางแผนการลงทุน
หากเมื่อ 3 เดือนก่อนตอนโรคนี้เริ่มระบาด ถ้ามีคนบอกล่วงหน้าว่าโรคนี้จะทำให้ห้างร้านต้องปิด ทำให้สายการบินแทบทั้งโลกต้องหยุดบิน ทำให้คนแทบทั้งโลกต้องทำเปลี่ยนวิธีการทำงานเป็นทำงานจากที่บ้านแทน หลายคนคงไม่เชื่อ....แต่ในเวลาเพียง 3 เดือน โรคนี้ได้ทำให้โลกนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างยิ่งก็คือผลกระทบต่อตัวเรา....ตอนโรคนี้เริ่มระบาดที่จีน เราก็อาจดูข่าวเหมือนข่าวชิ้นนึงที่ผ่านเข้ามา พอข่าวว่ามันเริ่มกระจายไปที่ต่างๆ รวมทั้งไทย เราก็มองว่าเดี๋ยวรัฐเค้าก็จัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อยไปเอง โดยเราไม่เคยคิดเลยว่าที่สุดโรคนี้มันจะมากระทบเงินเดือนของเราหรือแม้กระทั่งอนาคตในการจ้างงานของเรา...ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมากระทบใครใกล้ตัวเราหรือการเรียนหนังสือของลูกเรา...ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมากระทบต่อวิถีในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา
โค้ชเห็นหลายท่านพยายามให้แนวคิดในเชิงบวกท่ามกลางสถานการณ์นี้...ไม่ว่าจะเป็นผลดีต่อธรรมชาติที่การหยุดเดินหน้าของคนทำให้ธรรมชาติได้เดินหน้าบ้าง ฟ้าสวยขึ้นน้ำใสขึ้น การทำให้เราได้ใช้ชีวิตกับคนในครอบครัวมากขึ้น การทำให้คนตระหนักถึงความพอเพียงมากขึ้น....ซึ่งเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ดีมาก
ในทุกเรื่องร้ายมีมุมมองดีๆ เสมอหากเรารู้จักมองมัน...
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่โค้ชว่าเป็นสิ่งสำคัญก็คือ สถานการณ์นี้ทำให้เราตระหนักว่า ที่สุดแล้วมนุษย์เรา “รักตัวเอง” ที่สุด....เราล้างมืออย่างสะอาดทุกครั้งหลังจากทำโน่นนี่เล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่สมัยก่อนเราไม่เคยใส่ใจเลยว่ากิจกรรมเหล่านั้นจะสกปรกหรือไม่...ก่อนจะออกไปนอกบ้านเราเตรียมป้องกันตัวเองอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ทุกครั้ง...เราพยายามซื้อของและสินค้าต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเราจะอยู่รอดไปนานที่สุด...เราทำทุกอย่างเพื่อให้ “ตัวเรา” และ “คนของเรา” รอดพ้นและปลอดภัย
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ โรคระบาดครั้งนี้ ทำให้เราต้องใช้ชีวิตจาก extreme ด้านหนึ่งไปสู่ extreme อีกด้านหนึ่ง....จากชีวิตที่แทบไม่เคยอยู่บ้านเป็นชีวิตที่แทบไม่ได้ออกจากบ้าน...จากที่ชีวิตที่เคยนึกถึงแต่อนาคตเป็นชีวิตที่มองปัจจุบันมากขึ้น...จากชีวิตที่เคยต้องมีโน่นมีนี่เป็นชีวิตที่เอาเท่านี้แหล่ะก็พอแล้ว
แต่คำถามที่สำคัญกว่าก็คือ...ภายหลังจากเหตุการณ์นี้ไปแล้วล่ะ เราควรทำตัวอย่างไร....เราภาวนาว่าอยากให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปเพื่อจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่เป็นความปกติแบบไหนล่ะที่คุณกำลังนึกถึง....
ก็ในเมื่อเราตระหนักแล้วว่าที่สุดแล้วเรารักตัวเราเองมากที่สุด และชีวิต extreme แบบที่เราเคยเป็นนั้นเป็นชีวิตที่วุ่นวาย เป็นชีวิตที่เหนื่อย เป็นชีวิตที่ละเลยความเป็นปัจจุบัน เรายังอยากกลับไปใช้ชีวิตปกติที่ extreme แบบนั้นอีกหรือไม่....ถ้าใช่ เราก็จะกลับไปสู่วังวนของการลืมตัวเอง การไม่รักตัวเองอีกหรือเปล่า
หรือภายหลังวิกฤตนี้ เราจะก้าวออกจาก extreme ที่เราเคยเป็นไปสู่วิถีแห่งความสมดุลมากขึ้น...เป็นวิถีแห่งความตระหนักในการใช้ชีวิตมากขึ้น...เป็นวิถีแห่งการให้เวลากับตัวเองและคนในครอบครัวมากขึ้น
ถ้าทำได้ วิกฤตครั้งนี้มันจะไม่ได้กระทบแต่อดีตหรือปัจจุบันในทางที่แย่ต่อเราเท่านั้น แต่มันจะเปลี่ยนอนาคตในทางที่ดีต่อเราด้วย
ในทุกเรื่องร้ายมีมุมมองดีๆ เสมอหากเรารู้จักมองมัน...และที่สำคัญคืออย่างแค่มองมัน แต่ต้องทำมันขึ้นมาด้วยค่ะ
โค้ชขอให้ทุกท่าน คนในครอบครัว และคนที่รักและห่วงใยมีสุขภาพแข็งแรงปลอดภัยนะคะ
โค้ชนุ่น (ดร.เมธยา ป้อมสุวรรณ)